ฤดูร้อนนี้ต้องมี “ ภูกระดึง ” ตอนที่ 2

การเดินทางไป “ภูกระดึง………”

ถ้าขับรถส่วนตัวไป แนะนำให้ออกเย็นหรือบ่าย ไปนอนค้างที่รีสอร์ทตรง “ภูกระดึง”  เช้า 7 โมงค่อยเดินขึ้น   หากขับกลางคืนไม่ได้นอนแล้วขึ้นภูกระดึงจะน็อคเอาได้ถ้าไม่ฟิตจริงๆ   แต่ถ้าไปรถทัวร์ก็ไปลงภูกระดึงได้เลย ส่วนมากจะถึงช่วงเช้า  ลงที่ผานกเค้าแล้วเหมาะรถสองแถวเข้าไป  ถ้าขับรถไปเองจากกรุงเทพ จะไปทางชัยภูมิก็ได้  แต่ผมชอบไปทางเพชรบูรณ์ ผ่านน้ำหนาว ชุมแพ แล้วไปภูกระดึง  ทางเส้นนี้รถน้อย ทางดีมาก วิ่งสบาย  ไปนอนน้ำหนาวก่อนแล้วไปภูกระดึงต่อ  ทางจะอ้อมกว่าแต่ถึงเร็วกว่า  ยกเว้นคนขับรถช้าแนะนำให้ไปเส้นชัยภูมิ  ส่วนคนขับเร็วแนะนำไปทางเพชรบูรณ์ดีกว่า

มาต่อเรื่องทริปถ่ายภาพ “ภูกระดึง” กันดีกว่า  ผมจัดสัมภาระโดยมีชุดอุปกรณ์ถ่ายภาพคือกล้อง   Fujifilm GFX  กับเลนส์ Fujinon 23-63mm.F4  Fujinon 63mm.F2.8  Fujinon 120mm.F4 Macro  ขาตั้ง สายกดชัตเตอร์ ชุดทำความสะอาด ฟิลเตอร์ ND PL ไฟฉายคาดหัวและแบตเตอรี่สำรอง  กับเพาเวอร์แบงค์ 20V สำหรับใช้กับ GFX   มีเตนท์ ถุงนอน  สายชาร์จแบตเตอรี่ ส่วนเสื้อผ้าเอาไป 5 ชุดสำหรับอยู่นานกว่า 7 วัน (ซักเสือผ้าบนภูกระดึง)  ส่วนพวกของกินไม่เอาไปเลย ไปซื้อบนภูกระดึงเอาเพราะว่าค่าแบกขึ้นรวมแล้วก็พอๆ กับซื้อบนภูกระดึงนั่นละ

ผมเดินทางกลางคืนโดยขับรถไปเอง ติดจักรยานไปด้วยเพื่อไปปั่นที่น้ำหนาว  ออกเดินทางกลางคืนนะครับ สะดวกกว่าไม่ค่อยเจอด่านจับความเร็ว ฮ่าๆๆ  ใช้เส้นทางกรุงเทพ – สระบุรี – ลพบุรี – เพชรบูรณ์ – หล่มสัก – น้ำหนาว  ไปรอพรรคพวกมาสมทบที่น้ำหนาว เพราะว่าแต่ละคนออกเดินทางคนละเวลา  พอรวมกับครบที่น้ำหนาว ก็เดินทางไปภูกระดึงต่อ  พักที่ภูกระดึงรีสอร์ทตรงอำเภอภูกระดึงในคืนนั้น  ตั้งใจว่าถ้าฟ้าเปิดจะออกมาถ่ายภาพดาวสักหน่อย แต่ดันฟ้าปิดเลยนอนยาวๆ เลย เก็บแรงไว้พรุ่งนี้จะได้เดินขึ้นภูกระดึงแบบสบายๆ หน่อย

เช้า ๆ ผมแนะนำให้ไปทานอาหารเช้าที่ตลาดตรงอำเภอ มีของกินเยอะแยะ จะโจ๊ก ข้าวแกงขนมต่าง ๆ กินให้พอดี ๆ นะครับ อย่าอิ่มไปเดี๋ยวเดินขึ้นภูจะจุกเอา

เช้าวันแรกเดินชิลชิลขึ้น “ภูกระดึง…จริงเปล่าเนี้ย”

เราแวะไปริมอ่างเก็บน้ำ อยากจะถ่ายภาพภูกระดึงสะท้อนน้ำ ที่สระแบบภาพใน Google  ขับรถวนไปด้านหลังที่พัก ก็เจอสระใหญ่แบบเห้ยเจอแล้ว นี่ไงสระเบ้อเริ่มเลย  ทำเลดีมาก มีถนนรอบริมสระ จะถ่ายภาพมุมไหนก็ได้สบาย  แต่พอเห็นสระระยะใกล้ๆ ก็โอ้ว ว้าว ทั้งจอกและแหนน มาได้ไงเนี้ยเต็มสระเลย  อย่าหวังได้เห็นแสงสะท้อนน้ำซะให้ยาก  มองไปรอบไม่เห็นมุมจะถ่ายได้เลย  รับแห้วไป 1 กิโลแล้วกลับมาที่พัก เพื่อเก็บสัมภาระขึ้นรถเตรียมเดินทาง   เช้าๆ ผมแนะนำให้ไปทานอาหารเช้าที่ตลาดตรงอำเภอ  มีของกินเยอะแยะ  จะโจ๊ก ข้าวแกงขนมต่างๆ  กินให้พอดีๆ นะครับ อย่าอิ่มไปเดี๋ยวเดินขึนภูจะจุกเอา

7 โมงละเราขับรถไปที่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึงที่อยู่เชิงภูกระดึง  เสียค่าเข้าอุทยานที่ด่าน แล้วก็ตรงเข้าที่ทำการเลย   ไปถึงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเราจะขึ้นภูกระดึง  ทางเจ้าหน้าที่จะเรียกลูกหาบมาให้  เอาของลง ไปจอดรถที่ลาดจอดค้างคืน จ่ายค่าธรรมเนียมให้เรียบร้อย แล้วก็เอาของไปยังจุดส่งสัมภาระ

จริงๆ ผมแนะนำให้เดินตัวเปล่านะครับ ไปถึงข้างบนจะได้ไม่เหนื่อยสามารถเดินทางไปถ่ายภาพต่อได้เลย  ถ้าแบกสัมภาระเองจะเหนื่อยมาก อาจจะหมดแรงไปไหนไม่รอด  ยกเว้นแต่ฟิตมากๆ อันนี้ก็ลุยได้เลย    สัมภาระของผมเองประมาณ 30 กก. หนักตรงแบตเตอรี่สำรองกับเตนท์นี่แหละ  ค่าลูกหาบ กก.ละ 30 บาท ถือว่าถูกอยู่ดีครับ  ใครจ้างแบก 30 กก. 900 บาทขึ้นภูนี่ผมไม่เอาแน่ๆ   ส่วนกระเป๋ากล้องผมแบกขึ้นไปเอง น้ำหนักประมาณ 8 กก. มีกล้องใหญ่กล้องเล็ก ไฟฉายและน้ำดื่ม สบายๆ   ส่วนคนอื่นๆ ก็แบกกล้องขึ้นไปเอง   เอาละพร้อมแล้วเราเดินขึ้นภูกระดึงกันเลย  เหนื่อยแน่นอนขอบอก

เวลาเดินให้ค่อย ๆ เดินไปนะครับ อย่าเดินเร่งมาก ให้ประมาณกำลังตัวเองไปเรื่อย ๆ

ภูกระดึงเป็บภูเขายอดตัด ด้านบนเป็นที่ราบกว้าง  เราจะเดินจากด้านล่างที่ระดับความสูงประมาณ 100 เมตรไปยังด้านบนที่ความสูง 1200 กว่าเมตร  ระยะทางเดินขึ้นเขาประมาณ 5 กม. ทางราบอีก 3 กม.  ทางชันตลอดทาง จะชันมากหรือชันน้อยก็เป็นเดินขึ้นเขาตลอดเวลา  ทางราบแทบจะไม่มี  เวลาเดินให้ค่อยๆ เดินไปนะครับ อย่าเดินเร่งมาก ให้ประมาณกำลังตัวเองไปเรื่อยๆ ระหว่างทางขึ้นจะมีจุดพักเรียกว่า ซำ  เป็นภาษาอีสานหมายถึง “ตาน้ำ”   ทุกซำจะมีร้านอาหาร สามารถกินน้ำแข็งใสให้คลายร้อนหายเหนื่อยได้

 ช่วงแรกซำแฮ๊กจะเป็น 1 กม.ที่เหนื่อมาก เพราะไกลและชันก็จะแฮ๊กสมชื่อ จากนั้นก็ชันมากบ้าง น้อยบ้าง  เดินไปเรื่อยๆ อย่านึกว่าเมื่อไรจะถึงมันจะยิ่งท้อ เดินมองนก มองฟ้า มองสาวที่นำหน้าเราไปเรื่อยๆ   ประมาณสัก 3-4 ชั่วโมงเราก็จะถึงหลังแป ผมเดินแบบรอๆ เพื่อนๆ ไปด้วยตลอดทาง  พอถึงซำสุดท้ายคือ ซำแคร่ อยากรู้ว่าถ้าเดินแบบไม่รอ จะใช้เวลาเท่าไรจากซำแคร่ถึงหลังแป ระยะทาง 1.3 กม.และชันเอาการ  ผมเดินใช้เวลาเท่าไรจำไมได้ละ  เหมือนจะสัก 20 กว่านาทีก็ถึงหลังแป เร็วพอๆ กับเดินทางราบเลย

ไปถึงต้องรอคนอื่นอีกนานมาก หลับไปตื่นมายังไม่ถึงกันเลย   ประมาณ 40 นาทีตั้มกับพี ก็ตามมาถึง  1.40 ชั่วโมง เติ้ลกับมุ้ยก็ตามมาถึง หน้าตาซีดเซียว แบบเมื่อไรจะถึงกันว๊ะเนี้ย  แวะพักให้หายเหนื่อยกันก่อน จากนี้ไปจะเป็นทางราบแล้ว ทางจะเป็นทรายหน่อย หนืดกินแรงใช้ได้  ส่วนมากจะมาหมดแรงเอา ก็เพราะเดินทางทรายช่วงนี้นี่แหละ

ช่วงหลังแปถึงที่ทำการนี่เหมือนสวรรค์มาก  เราจะเดินผ่านป่าสน ทุ่งหญ้า มีดอกเอนอ้าเริ่มบาน ทำให้มีสีม่วงแต่งแต้มผืนป่าไปตลอดทางดูเพลินมาก  จะเจอแมลงปีสีส้มพลอดรักกันตลอดทาง ผมเรียกแมลงพวกนี้ว่า Love Bug  เจอทีไรมันพรอดรักกันทุกทีเลย   เดินไปได้ครึ่งทาง ก็มีเมฆฝนไล่หลังมาพร้อมเสียงคำราม  ผมนี่ยิ้มในใจเลยขอให้ตกหนักๆ เปียกไม่กลัว กลัวไม่ได้ทะเลหมอก  ยังไม่ถึงที่ทำการฝนก็มาถึงพอดี  โดนฝนเปียกปอนไปหน่อยไม่น่าห่วง

ที่ห่วงคือลูกหาบนี่แหละ  ของในกระเป๋าจะเป็นอย่างไรบ้างอันนี้น่ากลัวว่า โชคดีที่เราเอาถุงพลาสติกห่อเอาไว้หมดคงไม่เป็นอะไรนัก    สักพักใหญ่ๆ ลูกหาบก็มาถึง  ของทุกอย่างปกติดี ไม่เสียหายชำรุดหรือเปรอะเปื้อน ลูกหาบที่นี่มืออาชีพมาก  ดีกว่าเราแบกเองอีก   วันนี้เรานอนบ้านพักเพราะตั้มกับพีจองเอาไว้ล่วงหน้า บ้านพักสองห้องนอนสองห้องน้ำ เตียงแทบจะเต็มห้องไม่มีที่วางของ   พักผ่อนกันพองาม จากนั้นเราจะไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกกัน

ของทุกอย่างปกติดี ไม่เสียหายชำรุดหรือเปรอะเปื้อน ลูกหาบที่นี่มืออาชีพมาก  ดีกว่าเราแบกเองอีก
แนะนำให้ไปที่หน้าผาแล้วเดินไปทางหลังแปนิดนึง จะมีมุมสวยเห็นผาหมากดูกกับต้นสนและเห็นพระอาทิตย์ตกพอดี  พระอาทิตย์ช่วงหน้าร้อนจะตกทางเขา ไม่ได้ตกทางหน้าผา ผมถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้างให้ต้นสนเป็นฉากหน้า ถ้ามาช่วงมีเมฆเป็นหย่อมๆ จะได้แสงลอดเมฆสวยๆ

จากที่ทำการไปผาหมากดูกระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรพอดี  ใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที  ขาไปขึ้นเนิน ขากลับลงเนิน ให้ชัวร์ก็ประมาณไว้สัก 1 ชั่วโมงจะเหลือๆ  เอาไฟฉายไปด้วยนะครับ   ผมออกจากที่พัก 4 โมงนิดๆ ประมาณ 5 โมงก็ถึงผาหมากดูก   แนะนำให้ไปที่หน้าผาแล้วเดินไปทางหลังแปนิดนึง จะมีมุมสวยเห็นผาหมากดูกกับต้นสนและเห็นพระอาทิตย์ตกพอดี  พระอาทิตย์ช่วงหน้าร้อนจะตกทางเขา ไม่ได้ตกทางหน้าผา

ผมถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้างให้ต้นสนเป็นฉากหน้า ถ้ามาช่วงมีเมฆเป็นหย่อมๆ จะได้แสงลอดเมฆสวยๆ  แล้วให้มีดวงอาทิตย์ลอดต้นไม้มา จะได้ดูเป็นพระอาทิตย์ตกหน่อย สุดท้ายก็มาลุ้นฟ้าระเบิดอีกที   ตรงจุดนี้เราสามารถถ่ายภาพดาวได้ด้วย ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวฟ้าใสๆ จะได้แสงเมืองด้านล่าง  ส่วนป่าสนด้านหน้าต้องเติมแสงสักหน่อย จะได้ไม่มืดเกินไป  ผมนี่เล็งเอาไว้ละว่าจะถ่ายภาพอย่างไร  รอฟ้าเปิดเหมาะๆ จัดเลย   ส่วนเทคนิคการถ่ายภาพดูในบทความเรื่อง การถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นและตก ได้เลย

ขากลับมันจะรู้สึกว่าไกล เพราะรีบกลับไปกินข้าว  เลยอยากให้ถึงสักที แล้วเราจะเหนื่อยจากการขึ้นเขามาด้วย ผมทานร้านใกล้ๆ ร้านไหนก็ได้จะพอๆ กันนั่นละครับ ส่วนมากจะเป็นร้านชาวใต้ ผมทานติดกับร้านชาวใต้ แนะนำว่าทานร้านไหนก็ให้ทานร้านนั้นประจำ จะได้ฝากชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วย  ร้านค้าเขาจะมีโซล่าเซลชาร์จแบตตอนกลางวันได้ด้วยนะครับ   ส่วนค่าอาหารจะสูงกว่าข้างล่างอยู่ประมาณเท่าตัวได้ เพราะทุกอย่างต้องจ้างแบกขึ้นมาทั้งหมด   ตรงนี้ให้เผื่อค่าใช้จ่ายเอาไว้ด้วยนะครับ

แสดงความเห็นได้ที่นี่

Related Posts