วันที่ 2 ของการอยู่บน “ภูกระดึง”
เมฆไหลและพระอาทิตย์ตกผาหล่มสัก…………
บนภูกระดึง เราต้องตื่นกันแต่เช้าประมาณตี 4.45 แล้วคว้าอุปกรณ์ถ่ายภาพมาตรงที่ทำการให้ทันตอนตี 5 เพื่อมาพบเจ้าหน้าที่จะนำทางทุกคนไปยังจุดชมวิวผานกแอ่น สมัยก่อนเราสามารถเดินไปเองได้ แต่ตอนหลังมีช้างมาบ่อยๆ เจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาตให้ไปเอง ต้องไปกันเป็นทีมพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ เจ้าหน้าที่จะขี่มอเตอร์ไซด์ล่วงหน้าไปดูก่อนว่ามีช้างไหม ถ้าปกติปลอดภัยก็จะ ว. มาบอกเราอีกทีให้เดินไปผานกแอ่นได้
เช้าๆ อากาศสบายๆ ต้องลุ้นกันว่าจะได้ทะเลหมอกไหม ฤดูร้อนก็มีทะเลหมอกได้นะครับ ขึ้นกับอากาศและความชื้น ถ้าฝนตกหนักๆ แล้วฟ้าเปิดตอนกลางคืน เช้าจะมีทะเลหมอก แต่ต้องลุ้นว่ามีฝนตกที่ด้านล่างไหม ถ้าตกหนักเป็นวงกว้างก็จะมีทะเลหมอกอย่างสวยเชียวละ แต่ถ้าตกบนภู ไม่ตกด้านล่างหรือตกนิดๆ หน่อยๆ อันนี้ก็ไม่มีหมอกนะครับ
ขยับไปทางซ้ายจะได้ต้นสนสองต้นเป็นรูปตัว V เหมาะกับการถ่ายภาพตัวเองยิ่งนัก หรือให้พระอาทิตย์ขึ้นทางด้านซ้ายหรือตรงกลางก็ได้ อยากได้มุมไหนก็ขยับตำแหน่งตัวเองเอา
เราใช้เวลาสัก 30 นาทีในการเดินไปยังจุดชมวิวผานกแอ่น ก่อนถึงก็ภาวนาขอให้เจอทะเลหมอกอลังการงานสร้างหน่อยเถอะน่า โผล่หน้าไปเห็นวิวก็โอ้ว ว้าว อ้าว แสงสวยนะ แต่ไม่มีหมอก ฮ่าๆๆๆ ผมไม่ได้มาผานกแอ่นนานมากละ ก็นั่นละ 15 ปี ทิวทัศน์ก็ยังสดสวยเหมือนเดิม ถ้าเรามาเช้ามากพอจะได้แสงโพล้เพล้กับแสงเมืองด้านล่างด้วย จะประมาณตี 5 ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนนี้ นี่มาถึงตี 5 ครึ่งนับว่าสายไปหน่อย ทำไงได้ต้องมากับเจ้าหน้าที่ แต่ยังพอได้แสงเมืองอยู่บ้าง
ผมเน้นมุมถ่ายภาพแบบมาตรฐานก่อน ถ่ายภาพด้านหน้ามองไปให้เห็นต้นสนริมผากับทิวทัศน์ด้านล่างก่อน จากนั้นก็ขยับไปทางซ้ายจะได้ต้นสนสองต้นเป็นรูปตัว V เหมาะกับการถ่ายภาพตัวเองยิ่งนัก หรือให้พระอาทิตย์ขึ้นทางด้านซ้ายหรือตรงกลางก็ได้ อยากได้มุมไหนก็ขยับตำแหน่งตัวเองเอา แล้วก็ไปถ่ายภาพวิวกับแนวเขาภูกระดึง โดยใช้เลนส์ 120mm. ถ่ายภาพผ่านหมอกต้องปรับภาพเพิ่มความเปรียบต่างสักหน่อย จะได้มีมิติและสีสันเข้มข้นขึ้นด้วย ถ่ายภาพอยู่สัก 1 ชั่วโมงเราก็เดินทางกลับไปยังที่พักเพื่อไปทานอาหาร เตรียมของสำหรับการเดินไปผาหล่มสักเย็นนี้
ของที่เตรียมไปแน่ ๆ คือ น้ำ ข้าวกลางวัน ไฟฉาย และแบตเตอรี่สำรองสำหรับกล้องถ่ายภาพ เสื้อหนาวไม่ต้องเพราะเวลาเดินกลับแม้อากาศจะเย็น แต่เราเดินมีการออกกำลังมันจะทำให้ตัวอุ่นอยู่แล้ว เอาไปก็เกะกะเปล่า ๆ
ของที่เตรียมไปแน่ๆ คือ น้ำ ข้าวกลางวัน ไฟฉาย และแบตเตอรี่สำรองสำหรับกล้องถ่ายภาพ เสื้อหนาวไม่ต้องเพราะเวลาเดินกลับแม้อากาศจะเย็น แต่เราเดินมีการออกกำลังมันจะทำให้ตัวอุ่นอยู่แล้ว เอาไปก็เกะกะเปล่าๆ พวกเราใช้เส้นทางที่ทำการวังกวาง ไปองค์พระ มุ่งไปสระอโนดาษ เส้นทางนี้ช่วงต้นพฤษภาคมจะสวยมาก จะมีหม้อข้าวหม้อแกงลิงเต็มไปหมด และมีดอกเอนอ้าจะบานเป็นสีม่วงเต็มทุ่งหญ้า แต่รอบนี้เรามาเร็วเกินไป หม้อข้าวหม้อแกงพึ่งออกมาเป็นตุ่มเล็กๆ เท่านั้นเอง ส่วนดอกเอนอ้าบานยังไม่เต็ม 100% แต่พอถ่ายภาพได้อยู่ ผมเคยมาช่วงที่เอนอ้าออก 100% มองไปทางไหนก็มีแต่สีม่วงทั้งนั้นสวยงามอลังการมาก

จากที่ทำการวังกวาง เราจะเดินไปทางสระอโนดาษโดยผ่านองค์ลานองค์พระเหมือนเคย ช่วงหลังองค์พระจะเป็นป่าสนทุ่งหญ้า ด้านล่างมีเอนอ้าเป็นจังหวะ แนะนำให้ใช้เลนส์มุมกว้างกับฟิลเตอร์ PL เช้าๆ จะเป็นท้องฟ้าสีเข้มกับเมฆเป็นปุยๆ ต้องชิงจังหวะถ่ายฟ้าสวยๆ ช่วงนี้ พอบ่ายฝนจะตกละเมฆเพียบ ต้องหลบฝนกันละ ถ้าอยากใช้ฟิลเตอร์ PL ลากเฆฆจะเจอปัญหาวัตถุด้านล่างไหวตามไปด้วย พวกดอกเอนอ้า ต้นหญ้าไปหมด
ถ้าอยากได้บนพริ้วล่างชัดต้องถ่าย 2 ภาพมาซ้อนกันนะครับ เมฆใช้ ND ลากเวลาเปิดรับแสง ส่วนภาพล่างเอา ND ออกใช้ชัตเตอร์สูงแทนก็จะแก้ปัญหาพอได้อยู่ เสียดายผมไม่มีเลนส์มุมกว้างมากๆ เลยถ่ายมุมที่อยากได้ไม่ค่อยจะลงตัว ก็ถ่ายเก็บบรรยากาศไปก่อน ปีหน้าไว้ว่ากัน จะมาช่วงเอนอ้าออกพร้อมกับหม้อข้าวหม้อแกง น่าจะเดือนพฤษภาคมก่อนปิด ” ภูกระดึง “
แนะนำให้ใช้เลนส์มุมกว้างกับฟิลเตอร์ PL เช้า ๆ จะเป็นท้องฟ้าสีเข้มกับเมฆเป็นปุย ๆ ต้องชิงจังหวะถ่ายฟ้าสวย ๆ ช่วงนี้ พอบ่ายฝนจะตกละเมฆเพียบ ต้องหลบฝนกันละ
เดินชิล ๆ เจองูข้างทางกับทากน้อยกลอยใจไปนิดๆ หน่อยๆ ประมาณสักชั่วโมงเราก็มาถึงสระอโนดาษละ สระอโนดาษเป็นสระน้ำธรรมชาติที่เกิดจากลำธารเล็กๆ ไหลมา ตรงนี้ถ่ายภาพสระมีแสงสะท้อนน้ำสวยดี มีแนวหินเป็นฉากหน้า ท้องฟ้าสะท้อนผิวน้ำ ให้มีเมฆหน่อยจะสวยนะ ถ้าเป็นฟ้าใส ๆ ไม่มีเมฆให้ลากก็ถ่ายธรรมดา เน้นฉากหน้าเป็นดอกไม้จะสวยกว่า
เราแวะทานข้าวที่ติดมาเป็นมื้อกลางวันที่นี่ แถมนอนเล่นอีกหน่อย เมื่อเช้าตื่นเร็วทำให้ง่วงชะมัด ผมเอามาแต่ไข้ต้มไม่ได้เอาข้าวมาเพราะขี้เกียจแบกอาหารกลางวัน เดี่ยวไปถึงผาหล่มสักก็มีอาหารกินละ สำคัญคือน้ำดื่มมากกว่า เพราะเราต้องเดินทางโดยไม่มีร้านน้ำให้แวะซื้อเลย (ในช่วงฤดูท่องเที่ยวจะมีน้ำขายตลอดทาง) จากสระอโนดาษจริงๆ สามารถเดินตัดไปยังผาหล่มสักได้หลายทาง ทั้งเดินตัดป่าเส้นในซึ่งทุ่งหญ้าป่าสนจะสวย หรือเลือกตัดออกหน้าผาไปทางผานาน้อยก็ได้ แต่ว่าช่วงนี้มีช้างป่าออกหากินทางเส้นด้านใน เจ้าหน้าที่เลยเอาเชือกกั้นไว้ให้เราเดินทางเส้นหน้าผาแทน
เราจะต้องเดินขึ้นนิดๆ แต่กินแรงดีไปยังผานาน้อย แล้วเดินเลียบหน้าผาไปเรื่อยๆ ในช่วงหน้าร้อนที่ฝนตกมาสักระยะ ป่าสนจะเขียวและทุ่งหญ้าจะมีหญ้าเตี้ยๆ เป็นสีเขียวอ่อน สลับกับต้นเฟิร์นที่พึ่งขึ้นใหม่ จะสวยมากมาย ส่วนฤดูหนาวทั้งหญ้าและเฟิร์นจะสูงและเป็นสีน้ำตาลหมด ช่วงจากสระอโนดาษไปผานาน้อยจะร้อนหน่อยเพราะไม่ค่อยมีสนต้นใหญ่นัก สนใหญ่โดนพายุล้มไปเยอะมาก แต่ก็ยังดูดีมีอนาคตเพราะสนต้นเล็กขึ้นมาเต็มไปหมด อีกสัก 30 ปีเราจะเห็นต้นสนเต็มภุกระดึง ถึงตอนนั้นผมคงขึ้นภูกระดึงไม่ไหวละ น่าจะต้องให้รุ่นลูกขึ้นมาดูแทนแล้วละ
ปกติถ้ามาช่วงมีอะไรถ่ายเยอะ ๆ อย่างช่วงพฤษภาคมกว่าจะเดินได้สัก 1 กิโลเมตรนี่นานมาก แวะถ่ายภาพมันตลอดทางทั้งมาโครและวิว
ใช้เวลาสัก 1 ชั่วโมงกว่าถึงผานาน้อย ร้านค้าเพียบแต่ไม่มีร้านไหนเปิดเลยเพราะช่วงนี้ไม่มีใครเที่ยวภูกระดึงกันแล้ว อยู่ก็ไม่รู้จะขายให้ใคร จากผานาน้อยคราวนี้เดินกินลมชมวิวเลียบริมผาไปเรื่อยๆ จนถึงผาหล่มสัก วิวจะสวยช่วงเย็นๆ ส่วนช่วงกลางวันถ้าไม่มีหมอกฝนเข้ามาก็ไม่มีอะไรจะถ่ายภาพได้สักเท่าไรนะครับ ต้องไปลุ้นเอาช่วงเย็นๆ
เดินทางช่วงนี้จะน่าเบื่อมากสำหรับคนไม่ชมวิว ผมเดินชมวิวไปเดินไปเพลินๆ ดี สักพักผ่านผาเหยียบเมฆ ผาแดง แล้วก็ถึงผาหล่มสักประมาณสักบ่ายสองโมง ปกติถ้ามาช่วงมีอะไรถ่ายเยอะๆ อย่างช่วงพฤษภาคมกว่าจะเดินได้สัก 1 กิโลเมตรนี่นานมาก แวะถ่ายภาพมันตลอดทางทั้งมาโครและวิว อย่างที่บอกว่าจริงๆ อยากมาเดือนพฤษภาคมมากกว่า แต่ติดว่าต้องบินกลับไปอเมริกาอยู่กับครอบครัว ก็เลยต้องมาช่วงนี้แทน

ที่ผาหล่มสักมีร้านค้าหลายร้านเปิด สามารถสั่งอาหารได้อาหารหลัก ของหวาน และกาแฟ ผมนี่ทานกาแฟก่อนเลยเพราะไม่ได้กินมาหลายวันละ เป็นกาแฟดริฟหอมกรุ่นฝืมือป้าเจ้าของร้าน พวกน้องๆ เดินมาถึงก็ซัดของหวานของคาวคนละสองสามอย่าง จากนั้นก็ต้องรอพระอาทิตย์ตกละ ทำอะไรดีละ นอนซินอน
ถ้าฝนตกหนักช่วงเที่ยงถึงบ่ายแล้วฝนหยุดจะได้ลุ้นทะเลหมอกช่วงเย็น คนทั่วไปคงไม่รู้ว่าเย็นมีทะเลหมอกได้ด้วย
สัก 5 โมงเย็นมีนักท่องเที่ยวอยู่ทีผาหล่มสักไม่เกิน 10 คน บรรยากาศจะผิดกับช่วงท่องเที่ยวลิบลับ ช่วงนั้นแบบผาหล่มสักเหมือนมีชุมนุมแจกกระเป๋าลดราคาอะไรจะปานนั้น ช่วงหน้าหนาวผมนี่ไม่ไปภูกระดึงแน่ๆ ถ้าจะไปจริงๆ ก็ช่วงเมเปิ้ลออก ถ่ายภาพเสร็จแล้วก็ลงเลย คนเยอะไมไหว ต้นสนและวิวที่ริมผาก็เปลี่ยนไปอยู่ ป่าด้านล่างหัวโล้นไปเยอะมาก ส่วนต้นสนเหมือนกิ่งสนมันจะบังวิวไปเยอะเหมือนกัน ผมเดินหามุมว่าจะถ่ายภาพอย่างไรดีให้มันดูเป็นผาหล่มสัก จริงๆ ถามว่าผมหล่มสักสวยไหม ตอบเลยว่าไม่ ฮ่าๆๆ แบบมันเป็นแลนด์มาร์ค ไม่มาเดี่ยวหาว่าไม่ถึงภูกระดึงจริงๆ
ผาหล่มสักจะสวยต่อเมื่อดวงอาทิตย์ได้ตำแหน่งเลยมาช่วงด้านหน้าซ้ายมือสักหน่อยจะกำลังดี แต่ว่าตอนนี้อยู่ตรงปลายสนพอดีแล้วก็มาสามารถเปลี่ยนมุมแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนต้องใช้ Drone ละ อีกอย่างคือถ้ามีทะเลหมอกช่วงเย็นจะโอเคมาก ถ้าฝนตกหนักช่วงเที่ยงถึงบ่ายแล้วฝนหยุดจะได้ลุ้นทะเลหมอกช่วงเย็น คนทั่วไปคงไม่รู้ว่าเย็นมีทะเลหมอกได้ด้วย หมอกเย็นจะเป็นเมฆหรือหมอกที่ลอยตัวขึ้นมาจากน้ำฝนเย็นๆ ที่โดนความร้อนบนพื้นเลยเกิดเป็นไอเย็นขึ้นมาเกิดเป็นทะเลหมอกช่วงเย็น ผมเจอทะเลหมอกช่วงเย็นหลายครั้ง
ลองสังเกตุดูนะครับว่ามีสภาพแบบนี้ไหม ถ้ามีไปลองลุ้นดูได้เลย ผมได้ภาพพระอาทิตย์ตกยังไม่ปลื้มนัก แบบว่าฟ้ามันใสไป ดวงอาทิตย์ไม่ได้ตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องปกติของการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่ต้องอาศัยธรรมชาติบันดาล แต่ยังมีเวลาแก้ตัวใหม่วันหลัง ยังอยู่ลุ้นอีกหลายวัน
ขากลับเราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า เดินกันขาลากเลยละสำหรับคนเดินไม่แข็งนัก แบตไฟฉายหมดไป 1 ชุด เจองูไปอีก 1 ตัว เราจะต้องเดินไปทางผาหมากดูกแล้วตัดเข้าไปที่ทำการ จะมีเจ้าหน้าที่คอยเช็คด้านหลังว่ากลับมาครบกันหรือเปล่า จะไม่สามารถนอนค้างระหว่างทางได้นะครับ มีทั้งช้างและหมาป่า จะอันตรายไปหากแอบค้างกันคนสองคน